วิเคราะห์วรรณกรรมปัจจุบัน
ใบไม้ที่หายไป – จีระนันท์
พิตรปรีชา
“ใบไม้ที่หายไป”เป็นหนังสือประเภทกวีนิพนธ์ของจีระนันท์
พิตรปรีชา นักกลอนคนตรัง ผู้ซึ่งมีความสามารถด้านการประพันธ์มาตั้งแต่ยังเด็ก จบการศึกษาชั้นมัธยมศึกษาจากโรงเรียนเตรียมอุดมศึกษา
ก่อนที่จะสอบเข้าเรียนต่อเป็นนิสิตรั้วจามจุรีได้ในคณะวิทยาศาสตร์
แผนกวิชาเตรียมเภสัชฯ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย หนึ่งในผู้มีบทบาทของแกนนำนิสิตจากเหตุการณ์การเรียกร้องประชาธิปไตยในช่วง
พ.ศ.2516-2519 จนถึงกับต้องหลบหนีเข้าป่าและได้รับสมญาว่า“สหายใบไม้” ก่อนจะกลับมาถ่ายทอดเรื่องราวของใบไม้ใบหนึ่งที่ห่างหายไปจากวงการวรรณกรรมโดยผลงานเล่มนี้ถูกสร้างสรรค์ขึ้นในปี
พ.ศ.2532 และยังได้รับรางวัลวรรณกรรมสร้างสรรค์ยอดเยี่ยมแห่งอาเซียน (ซีไรต์) ประจำปี
พ.ศ.2532 เช่นเดียวกัน ได้รับการตีพิมพ์ครั้งแรกจากสำนักพิมพ์อ่านไทย
กวีนิพนธ์เล่มนี้มีจำนวน 119 หน้า โดยได้แบ่งเนื้อหาไว้เป็นตอนๆซึ่งถ่ายทอดเรื่องราวชีวิตของจีระนันท์
พิตรปรีชา ตั้งแต่ยังเป็นนักศึกษาวัยรุ่นที่มีพลังแห่งอุดมการณ์
จนกระทั่งได้เรียนรู้เรื่องราวของชีวิตที่ตนเองต้องประสบพบเจอที่ต้องเป็นไปตามธรรมชาติ
ในช่วงระยะเวลาตั้งแต่ พ.ศ.2513 ถึง พ.ศ.2528 ตามลำดับ
พ.ศ.2513-2515 เป็นการเล่าชีวิตในขณะที่จบการศึกษาจากโรงเรียนเตรียมอุดมศึกษาและการเข้าเป็นนิสิตในรั้วจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย
เริ่มด้วยการมองธรรมชาติด้วยความคิดถึง การมองด้วยภาพของความสดใส ความสวยงาม
ตามวัยที่ยังคงไร้เดียงสาและไม่ทราบว่าวันข้างหน้าจะเป็นอย่างไรต่อไป และกล่าวถึงความหลังอันต้องจากบ้านมาโดยถ่ายทอดผ่านต้นยางพาราที่ถูกกรีดเอาน้ำยางมาเป็นหนทางทำมาหากิน
เหลือทิ้งไว้เพียงรอยแผลบนต้นยางพาราที่เป็นดั่งร่องรอยจารึกของบุญคุณที่มีต่อตนเอง
จากนั้นเล่าถึงชีวิตของความใฝ่ฝันที่ต้องการเจิดจ้าดั่งแสงดาวแต่ก็ไม่ต้องการเป็นดาวที่จุดสว่างวูบวับแล้วดับลง
ตามมาด้วยความเป็นไปของการเกิด แก่ เจ็บ ตาย
ซึ่งทุกอย่างเป็นเพียงความว่างเปล่าแต่ความว่างเปล่านั้นกำลังจะจากไป รวมทั้งกล่าวถึงจุดหมายของตนเองที่ต้องการแสดงความกล้าในสภาพสังคมที่ถูกปิดและจะใช้สองมือกับความรู้ความคิดเท่าที่มีในขณะนั้นเพื่อร่วมต่อสู้และแสดงพลังของคนหนุ่มสาว
ไม่ว่าผลจะเป็นอย่างไรก็ต้องขอลองดู
พ.ศ.2516-2519 ช่วงนี้เล่าถึงชีวิตที่ต้องดำเนินไปในสังคมของการกดขี่ข่มเหงโดยถ่ายทอดผ่านชีวิตของควายและผู้ที่ทำนาบนหลังควาย
ถ่ายทอดถึงชีวิต วิญญาณที่ต้องต่อสู้กับอธรรมด้วยความกล้าหาญแม้จะปวดร้าวเพียงใดก็ตาม
เป็นการแสดงปณิธานของคนหนุ่มสาวในแววตาซึ่งเต็มไปด้วยความไร้เดียงสาที่ต้องต่อสู้กับปัญหาที่ต้องเผชิญอยู่เบื้องหน้า
และตามด้วยพลังของสตรีดั่งดอกไม้บาน
ที่ไม่ได้มีเพียงไว้ให้ใครๆชื่นชมแต่บานไว้เพื่อเติมเต็มความอุดมสมบูรณ์ให้แผ่นดิน
พ.ศ.2520-2522 ช่วงนี้เล่าประสบการณ์การใช้ชีวิตในป่าเขาร่วมกับเพื่อนร่วมอุดมการณ์
จากชีวิตที่เคยอยู่ในสังคมเมือง จากหญิงสาวที่ใช้ชีวิตแบบคนธรรมดาแต่ต้องใช้ชีวิตที่ต้องร่วมสรรค์สร้างอุดมการณ์ด้วยแรงและกำลัง
ต้องใช้ชีวิตความเป็นอยู่ดั่งคนที่ต้องถูกเค้นข่ม และพูดถึงการเดินทางของชีวิต วิถีการใช้ชีวิต
และความเหน็ดเหนื่อยอ่อนล้าที่เกิดขึ้นในป่าเขา รวมทั้งความรู้สึกคิดถึงบ้านเกิด
เปรียบตนเองเป็นดั่ง(นก)บินหลาที่มาเผชิญชีวิตท่ามกลางป่าเขาล้วนทำให้เข้มแข็งขึ้น
พ.ศ.2522-2523 ช่วงนี้เล่าประสบการณ์ของชีวิตที่ต้องทนร้าวรวดปวดเจ็บ
และเป็นช่วงเวลาที่ตนเองกำลังตั้งครรภ์จึงได้กล่าวถึงลูกน้อยที่ลืมตามาดูโลก
ถ่ายทอดความเป็นห่วงของคนเป็นแม่ต่อลูก รวมทั้งถ่ายทอดอารมณ์เหงาผ่านสิ่งที่พบเจอขณะเดินทางในป่า
พ.ศ.2524-2528 เป็นการเล่าชีวิตตนเองผ่านการเติบโตของต้นไม้ที่ต้องยืนต้นเป็นหลักที่มั่นคง
เล่าถึงชีวิตที่ห่างหายจากงานเขียนไปพักใหญ่ๆผ่านย่ามแห่งความฝัน
จากเดิมที่เคยกล้าหาญผ่านคืนวันความกล้าหาญก็ยิ่งแผ่วลงแต่ความกล้าหาญนั้นก็กลับมาเหมือนเดิม
และกลับมาต่อสู้ และจบท้ายว่าทุกอย่างเป็นเพียงความรู้สึกที่บันทึกเรื่องราวสิ่งที่ผ่านมาหลายปี
จากที่กล่าวมาทั้งหมดเป็นเพียงเรื่องราวบางส่วนที่ถ่ายทอดให้เห็นถึงชีวิตที่ต้องดิ้นรนต่อสู้ในช่วงระยะเวลาที่เรียกว่าวรรณกรรมเพื่อชีวิต
กวีนิพนธ์เล่มนี้คาดว่าจะจัดอยู่ในประเภทยุควรรณกรรมซีไรต์ เนื่องจากพิจารณาจากช่วงของหนังสือที่ได้รับการตีพิมพ์
แม้เนื้อหาจะมุ่งนำเสนอสภาพเหตุการณ์บ้านเมืองในขณะนั้น ก่อให้เกิดการต่อสู้
ดิ้นรน ของกลุ่มนิสิต ประชาชน ได้อย่างชัดเจนและถูกถ่ายทอดเรื่องราวออกมาเป็นกวีนิพนธ์
“ใบไม้ที่หายไป”ก็ตาม
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น