วันศุกร์ที่ 2 พฤษภาคม พ.ศ. 2557

วิเคราะห์วรรณกรรมปัจจุบัน ใบไม้ที่หายไป

วิเคราะห์วรรณกรรมปัจจุบัน
ใบไม้ที่หายไป จีระนันท์ พิตรปรีชา

          ใบไม้ที่หายไปเป็นหนังสือประเภทกวีนิพนธ์ของจีระนันท์ พิตรปรีชา นักกลอนคนตรัง ผู้ซึ่งมีความสามารถด้านการประพันธ์มาตั้งแต่ยังเด็ก จบการศึกษาชั้นมัธยมศึกษาจากโรงเรียนเตรียมอุดมศึกษา ก่อนที่จะสอบเข้าเรียนต่อเป็นนิสิตรั้วจามจุรีได้ในคณะวิทยาศาสตร์ แผนกวิชาเตรียมเภสัชฯ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย หนึ่งในผู้มีบทบาทของแกนนำนิสิตจากเหตุการณ์การเรียกร้องประชาธิปไตยในช่วง พ.ศ.2516-2519 จนถึงกับต้องหลบหนีเข้าป่าและได้รับสมญาว่าสหายใบไม้  ก่อนจะกลับมาถ่ายทอดเรื่องราวของใบไม้ใบหนึ่งที่ห่างหายไปจากวงการวรรณกรรมโดยผลงานเล่มนี้ถูกสร้างสรรค์ขึ้นในปี พ.ศ.2532 และยังได้รับรางวัลวรรณกรรมสร้างสรรค์ยอดเยี่ยมแห่งอาเซียน (ซีไรต์) ประจำปี พ.ศ.2532 เช่นเดียวกัน ได้รับการตีพิมพ์ครั้งแรกจากสำนักพิมพ์อ่านไทย กวีนิพนธ์เล่มนี้มีจำนวน 119 หน้า โดยได้แบ่งเนื้อหาไว้เป็นตอนๆซึ่งถ่ายทอดเรื่องราวชีวิตของจีระนันท์ พิตรปรีชา ตั้งแต่ยังเป็นนักศึกษาวัยรุ่นที่มีพลังแห่งอุดมการณ์ จนกระทั่งได้เรียนรู้เรื่องราวของชีวิตที่ตนเองต้องประสบพบเจอที่ต้องเป็นไปตามธรรมชาติ ในช่วงระยะเวลาตั้งแต่ พ.ศ.2513 ถึง พ.ศ.2528 ตามลำดับ
          พ.ศ.2513-2515 เป็นการเล่าชีวิตในขณะที่จบการศึกษาจากโรงเรียนเตรียมอุดมศึกษาและการเข้าเป็นนิสิตในรั้วจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย เริ่มด้วยการมองธรรมชาติด้วยความคิดถึง การมองด้วยภาพของความสดใส ความสวยงาม ตามวัยที่ยังคงไร้เดียงสาและไม่ทราบว่าวันข้างหน้าจะเป็นอย่างไรต่อไป และกล่าวถึงความหลังอันต้องจากบ้านมาโดยถ่ายทอดผ่านต้นยางพาราที่ถูกกรีดเอาน้ำยางมาเป็นหนทางทำมาหากิน เหลือทิ้งไว้เพียงรอยแผลบนต้นยางพาราที่เป็นดั่งร่องรอยจารึกของบุญคุณที่มีต่อตนเอง จากนั้นเล่าถึงชีวิตของความใฝ่ฝันที่ต้องการเจิดจ้าดั่งแสงดาวแต่ก็ไม่ต้องการเป็นดาวที่จุดสว่างวูบวับแล้วดับลง ตามมาด้วยความเป็นไปของการเกิด แก่ เจ็บ ตาย ซึ่งทุกอย่างเป็นเพียงความว่างเปล่าแต่ความว่างเปล่านั้นกำลังจะจากไป รวมทั้งกล่าวถึงจุดหมายของตนเองที่ต้องการแสดงความกล้าในสภาพสังคมที่ถูกปิดและจะใช้สองมือกับความรู้ความคิดเท่าที่มีในขณะนั้นเพื่อร่วมต่อสู้และแสดงพลังของคนหนุ่มสาว ไม่ว่าผลจะเป็นอย่างไรก็ต้องขอลองดู
          พ.ศ.2516-2519 ช่วงนี้เล่าถึงชีวิตที่ต้องดำเนินไปในสังคมของการกดขี่ข่มเหงโดยถ่ายทอดผ่านชีวิตของควายและผู้ที่ทำนาบนหลังควาย ถ่ายทอดถึงชีวิต วิญญาณที่ต้องต่อสู้กับอธรรมด้วยความกล้าหาญแม้จะปวดร้าวเพียงใดก็ตาม  เป็นการแสดงปณิธานของคนหนุ่มสาวในแววตาซึ่งเต็มไปด้วยความไร้เดียงสาที่ต้องต่อสู้กับปัญหาที่ต้องเผชิญอยู่เบื้องหน้า และตามด้วยพลังของสตรีดั่งดอกไม้บาน ที่ไม่ได้มีเพียงไว้ให้ใครๆชื่นชมแต่บานไว้เพื่อเติมเต็มความอุดมสมบูรณ์ให้แผ่นดิน
          พ.ศ.2520-2522 ช่วงนี้เล่าประสบการณ์การใช้ชีวิตในป่าเขาร่วมกับเพื่อนร่วมอุดมการณ์ จากชีวิตที่เคยอยู่ในสังคมเมือง จากหญิงสาวที่ใช้ชีวิตแบบคนธรรมดาแต่ต้องใช้ชีวิตที่ต้องร่วมสรรค์สร้างอุดมการณ์ด้วยแรงและกำลัง ต้องใช้ชีวิตความเป็นอยู่ดั่งคนที่ต้องถูกเค้นข่ม และพูดถึงการเดินทางของชีวิต วิถีการใช้ชีวิต และความเหน็ดเหนื่อยอ่อนล้าที่เกิดขึ้นในป่าเขา รวมทั้งความรู้สึกคิดถึงบ้านเกิด เปรียบตนเองเป็นดั่ง(นก)บินหลาที่มาเผชิญชีวิตท่ามกลางป่าเขาล้วนทำให้เข้มแข็งขึ้น
          พ.ศ.2522-2523 ช่วงนี้เล่าประสบการณ์ของชีวิตที่ต้องทนร้าวรวดปวดเจ็บ และเป็นช่วงเวลาที่ตนเองกำลังตั้งครรภ์จึงได้กล่าวถึงลูกน้อยที่ลืมตามาดูโลก ถ่ายทอดความเป็นห่วงของคนเป็นแม่ต่อลูก รวมทั้งถ่ายทอดอารมณ์เหงาผ่านสิ่งที่พบเจอขณะเดินทางในป่า
          พ.ศ.2524-2528 เป็นการเล่าชีวิตตนเองผ่านการเติบโตของต้นไม้ที่ต้องยืนต้นเป็นหลักที่มั่นคง เล่าถึงชีวิตที่ห่างหายจากงานเขียนไปพักใหญ่ๆผ่านย่ามแห่งความฝัน จากเดิมที่เคยกล้าหาญผ่านคืนวันความกล้าหาญก็ยิ่งแผ่วลงแต่ความกล้าหาญนั้นก็กลับมาเหมือนเดิม และกลับมาต่อสู้ และจบท้ายว่าทุกอย่างเป็นเพียงความรู้สึกที่บันทึกเรื่องราวสิ่งที่ผ่านมาหลายปี

          จากที่กล่าวมาทั้งหมดเป็นเพียงเรื่องราวบางส่วนที่ถ่ายทอดให้เห็นถึงชีวิตที่ต้องดิ้นรนต่อสู้ในช่วงระยะเวลาที่เรียกว่าวรรณกรรมเพื่อชีวิต กวีนิพนธ์เล่มนี้คาดว่าจะจัดอยู่ในประเภทยุควรรณกรรมซีไรต์  เนื่องจากพิจารณาจากช่วงของหนังสือที่ได้รับการตีพิมพ์ แม้เนื้อหาจะมุ่งนำเสนอสภาพเหตุการณ์บ้านเมืองในขณะนั้น ก่อให้เกิดการต่อสู้ ดิ้นรน ของกลุ่มนิสิต ประชาชน ได้อย่างชัดเจนและถูกถ่ายทอดเรื่องราวออกมาเป็นกวีนิพนธ์ ใบไม้ที่หายไปก็ตาม

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น