วันศุกร์ที่ 23 พฤษภาคม พ.ศ. 2557

[พลี] หรือ [พะลี]

"...สละเลือดทุกหยาดเป็นชาติพลี..."
จากข้อความในเพลงชาติข้างต้น คำ "พลี" อ่านออกเสียงอย่างไร ?

คำ "พลี" มี ๓ ความหมาย ดังนี้
พลี ๑ [พะลี] น. การบวงสรวง, เครื่องบวงสรวง, ส่วย, การบูชา
พลี ๒ [พฺลี] ก. เสียสละ
พลี ๓ [พะลี] ว. มีกำลัง
ซึ่งสามารถอ่านออกเสียง ได้ ๒ แบบ คือ [พะลี] และ [พฺลี]
หากแปลตามความหมายในเพลง จะได้ว่า
"...คนไทยเป็นผู้รักสงบ เมื่อถึงเวลาออกรบก็ไม่กลัว จะไม่ขึ้นแก่ใคร ไม่ยอมให้ใครมากดขี่ ยอมเสียสละเลือดที่หยดลง เป็น .........................."
เมื่อนำความหมายของคำ "พลี" ใส่ลงไปในช่องว่าง(..........) ก็จะเห็นว่า ความหมายที่ ๑ เหมาะสมมากที่สุด กล่าวคือ "ยอมเสียสละเลือดที่หยดลง เป็นการบวงสรวงบูชาเพื่อชาติ"
ดังนั้น จึงอาจสรุปได้ว่า การอ่านออกเสียงคำ "พลี" ในเพลงชาติ ควรออกเสียงว่า [พะลี]

* ที่กล่าวมาข้างต้นเป็นข้อสงสัยที่เกิดขึ้นเมื่อนักเรียนร้องเพลงชาติ ในพิธีหน้าเสาธงของทุกวัน และพยายามค้นหาคำตอบ ทุกสิ่งที่อธิบายไว้ข้างต้นนี้ เป็นเพียง "ข้อสังเกต ความคิดเห็น ของผู้เัขียนเองทั้งสิ้น" อาจจะมีทั้งส่วนผิดบ้าง ถูกบ้าง ก็เป็นไปได้ จึงขอเชิญให้เพื่อน ๆ ในเฟซบุ๊คร่วมแสดงความคิดเห็นดังกล่าว ยินดีรับฟังครับ ^^

อ้างอิง ราชบัณฑิตยสถาน. พจนานุกรม ฉบับราชบัณฑิตยสถาน พ.ศ.๒๕๕๔. พิมพ์ครั้งที่ ๒. กรุงเทพฯ : ราชบัณฑิตยสถาน

วันศุกร์ที่ 2 พฤษภาคม พ.ศ. 2557

การศึกษากับคุณค่าความเป็นมนุษย์ในชุมชนจะทิ้งพระ จังหวัดสงขลา

การศึกษากับคุณค่าความเป็นมนุษย์ในชุมชนจะทิ้งพระ จังหวัดสงขลา

นัฐวุธ รัตนพันธ์

บทนำ

การศึกษาเป็นสิ่งสำคัญอย่างยิ่งในการพัฒนาทรัพยากรมนุษย์ เพื่อให้นำความรู้ความสามารถไปพัฒนาประเทศให้มีความเจริญรุ่งเรือง โดยกำลังหลักที่สำคัญของการศึกษาอยู่ที่ตัวผู้เรียน ซึ่งผู้เรียนจะต้องขวนขวายค้นคว้า แสวงหาความรู้เพิ่มเติมเพื่อสร้างประสบการณ์ ทักษะ และเรียนรู้ในสิ่งต่างๆที่เป็นประโยชน์ต่อตนเองและสังคม นอกเหนือจากกำลังหลักอันจะอยู่ในตัวผู้เรียนแล้ว บุคคลต่างๆที่เกี่ยวข้องรอบด้านล้วนเป็นปัจจัยที่ทำให้การศึกษาดำเนินไปได้ด้วยดีและประสบผลสัมฤทธิ์ตามความมุ่งหวังของการศึกษา การศึกษาจะดำเนินและสำเร็จตามความมุ่งหวังนั้นได้ต้องอาศัยความร่วมมือกันของบุคคลที่เกี่ยวข้อง หากมีผู้เรียนแต่ไม่มีผู้สอนการศึกษาก็ไม่ประสบผลสำเร็จ หรือหากมีผู้สอนแต่ไม่มีผู้เรียนผลที่เกิดขึ้นก็คงไม่ประสบความสำเร็จเช่นกัน โดยบุคคลที่เกี่ยวข้องในที่นี้ไม่ได้หมายความเพียงผู้เรียนและผู้สอนเท่านั้น แต่ยังหมายรวมถึงผู้ปกครองซึ่งมีส่วนสำคัญในการจัดการศึกษาให้สามารถดำเนินได้ต่อไป นอกจากนั้นสภาพความพร้อมของพื้นที่ในชุมชนหรือความเป็นอัตลักษณ์ของชุมชนหนึ่งๆย่อมส่งผลต่อการจัดการศึกษาอีกด้วย ซึ่งไม่ได้หมายความว่าทุกพื้นที่ในสังคมจะสามารถจัดการศึกษาได้เหมือนกัน แน่นอนว่าส่วนกลางหรือกระทรวงศึกษาธิการจำเป็นจะต้องมีหลักสูตร มีโครงสร้าง เพื่อเป็นรูปแบบมาตรฐานของการจัดการศึกษาทั้งประเทศ นั่นแสดงให้เห็นว่าส่วนที่เป็นความรู้พื้นฐานที่ผู้เรียนจำเป็นต้องได้รับนั้นจะปรากฏในผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนของผู้เรียนด้วย จากปัจจัยต่างๆที่ได้กล่าวไปนั้น ไม่ว่าจะเป็นผู้เรียน ผู้สอน ผู้ปกครอง หรือแม้แต่สภาพชุมชนล้วนเป็นหนึ่งในปัจจัยที่ส่งผลต่อมุมมอง ความคิดของคนในชุมชนที่ส่งผลต่อการศึกษา ดังจะได้กล่าวต่อไป


การศึกษาในอดีตของชุมชนจะทิ้งพระ จังหวัดสงขลา
 ในส่วนภูมิภาคของประเทศไทยโดยเฉพาะภาคใต้ เมืองสทิงพระนับว่าเป็นเมืองหนึ่งที่มีประวัติศาสตร์ ความเป็นมาอันยาวนาน และเป็นเมืองหนึ่งที่นับว่ามีความสำคัญต่อเทียบเท่ากับหัวเมืองต่างๆได้โดยมีวัฒนธรรม ความเชื่อ อันเป็นเอกลักษณ์ของชุมชนได้เป็นอย่างดี ในทำนองเดียวกันรูปแบบการศึกษาของสังคมไทยในอดีตก็มีระบบการจัดการศึกษาในโรงเรียนขึ้นเช่นกัน การจัดการศึกษาในระบบโรงเรียนของชุมชนจะทิ้งพระในอดีต ปรากฏ ๓ โรงเรียน คือ โรงเรียนในเมือง โรงเรียนบ้านจะทิ้งพระ และโรงเรียนสทิงพระวิทยา
                โรงเรียนในเมือง เป็นโรงเรียนระดับประถมศึกษา ตั้งอยู่เลขที่ ๑๐๔ หมู่ที่ ๕ ถนนเขาแดง-ระโนด บ้านหน้าเมือง ตำบลจะทิ้งพระ อำเภอสทิงพระ จังหวัดสงขลา
                โรงเรียนบ้านจะทิ้งพระ (วิจารณ์ศิลคุณ) เป็นโรงเรียนระดับประถมศึกษา ตั้งอยู่เลขที่ ๗๐ หมู่ที่ ๔ ตำบลจะทิ้งพระ อำเภอสทิงพระ จังหวัดสงขลา
                โรงเรียนสทิงพระวิทยา เป็นโรงเรียนระดับมัธยมศึกษา ตั้งอยู่เลขที่ ๗๕/๓ หมู่ที่ ๕ ถนนสายโยชน์ ตำบลจะทิ้งพระ อำเภอสทิงพระ จังหวัดสงขลา
                ชาวบ้านชุมชนจะทิ้งพระส่วนใหญ่ได้ผ่านการศึกษาในระบบโรงเรียนจากสามโรงเรียนดังกล่าว อันเนื่องมาจากสภาพของชุมชนในอดีตซึ่งปรากฏสภาพชุมชนในลักษณะชุมชนชนบท ความสะดวกสบาย ถนนหนทางยังไม่ปรากฏมากเท่าในปัจจุบันจึงทำให้การเดินทางเพื่อไปศึกษาเล่าเรียนยังคงอยู่ในละแวกบ้านของตนเอง อีกทั้งมุมมองทางด้านการศึกษาในอดีตของผู้ปกครองก็ไม่ได้มีมากเท่าในปัจจุบัน ชาวบ้านรู้เพียงว่าต้องให้บุตรหลานของตนเองได้รับการศึกษาในขั้นพื้นฐานให้ได้สูงสุดตามกำลังและฐานะของครอบครัวที่สามารถส่งเสียเลี้ยงดูได้ เด็กในชุมชนจะทิ้งพระในอดีตจึงไม่ได้สำเร็จการศึกษาในระดับที่สูงกว่าประถมศึกษา มีเพียงบางส่วนเท่านั้นที่สามารถสำเร็จการศึกษาในระดับที่สูงกว่าประถมศึกษาได้
                นอกจากนี้ด้วยความเป็นสภาพครอบครัวใหญ่ที่สมาชิกในครอบครัว ญาติ พี่น้อง อยู่พร้อมหน้าพร้อมตากัน ภายในบ้านหลังเดียวกันย่อมก่อให้เกิดความอบอุ่น ความใกล้ชิด ความสนิทสนมกัน จึงเป็นอีกสาเหตุหนึ่งที่ทำให้ผู้ปกครองไม่ส่งบุตรหลานของตนเองออกไปศึกษาเล่าเรียนยังต่างพื้นที่เพราะไม่มีความจำเป็นใดๆที่จะส่งบุตรหลานของตนเองออกไปใช้ชีวิตที่ห่างไกลจากครอบครัวนั่นเอง
การศึกษากับคุณค่าความเป็นมนุษย์

พุทธศาสนาสุภาษิตหนึ่งกล่าวไว้ว่า การเกิดเป็นมนุษย์นั้นยาก หมายความว่าการที่เราจะเกิดมาเป็นมนุษย์นั้นได้ไม่ใช่เรื่องง่าย เมื่อเกิดขึ้นมาแล้วย่อมต้องรักษาคุณค่านั้นให้คงอยู่ตลอดไป เปรียบกับสมบัติหรือสิ่งของทุกสิ่งอย่างนั้นย่อมมีคุณค่า มีคุณสมบัติในตัวของตนเอง ดังที่สมเด็จพระญาณสังวร สมเด็จพระสังฆราช สกลมหาสังฆปริณายกได้นิพนธ์ไว้ในเรื่องคุณค่าความเป็นมนุษย์ว่า สิ่งใดที่ได้ยากท่านถือว่าเป็นของมีค่า ควรถนอมรักษาอย่างยิ่ง การได้เป็นมนุษย์ ซึ่งเป็นการยาก เปรียบดังได้เพชรน้ำงามเม็ดใหญ่หาค่ามิได้ไว้ในมือ เราย่อมต้องรักษาเพชรนั้นยิ่งกว่าได้เศษกระเบื้องและไม่มีราคา การรักษาค่าของความเป็นมนุษย์ก็คือ การรักษาคุณสมบัติ ของมนุษย์ไว้ให้สมบูรณ์ที่สุด เช่นเดียวกับการรักษาเพชรนั่นเอง การรักษาเพชรนั้นไม่เพียงรักษาไม่ให้สูญหายเท่านั้น แต่ต้องรักษาไม่ให้แตกร้าว ไม่ให้เกิดรอยขีดข่วนแม้เท่าขนแมว เพราะนั่นจะเป็นเหตุให้ความงามของเพชรลดลง เป็นเหตุให้ค่าของเพชรลดลง เป็นเหตุให้ ราคาของเพชรต่ำลง ซึ่งจากพระนิพนธ์จะเห็นได้ว่าการรักษาเพชรไว้ไม่ไห้หายหรือมีรอยขีดข่วนก็เช่นเดียวกันกับการรักษาคุณค่าของความเป็นมนุษย์ที่มีอยู่และรักษาคุณค่าความเป็นมนุษย์ให้อยู่คู่กับการมีตัวตนเพื่อทำให้ตนเองนั้นกลายเป็นคนที่มีคุณค่านั่นเอง ดังที่กล่าวไว้ในพระนิพนธ์เล่มเดียวกันว่า การรักษาความเป็นมนุษย์ก็เช่นกัน ไม่ควรเพียงเพื่อรักษาชีวิตไว้ให้อยู่ยืนยาวเท่านั้น แต่ต้องรักษาคุณค่าของมนุษย์ไว้ให้สมบูรณ์ มนุษย์ก็คือคน คุณค่าของมนุษย์หรือของคนที่สำคัญที่สุดคือความไม่เป็นสัตว์ ไม่ใช่สัตว์ เมื่อพูดถึงความเป็นสัตว์ ทุกคนย่อมรู้สึกถึงความแตกต่างของตนเองกับสัตว์อย่างชัดเจน ทุกคนย่อมยินดีอย่างยิ่งที่ตนไม่เกิดเป็นสัตว์ ยินดีที่ตนไม่ใช่สัตว์ แม้เพียงถูกเปรียบว่าเป็นสัตว์ หรือเพียงเหมือนสัตว์ก็ย่อมไม่พอใจอย่างยิ่ง นั่นก็เพราะทุกคนเห็นความห่างไกลระหว่างคุณค่าของคนกับของสัตว์ ค่าของคน เป็นค่าที่สูงกว่าค่าของสัตว์ ดังนั้นคุณค่าของมนุษย์จึงแตกต่างกับสัตว์ ผู้เป็นมนุษย์จึงจำเป็นต้องถนอมรักษาคุณค่าของตนไว้มิให้เสียความเป็นมนุษย์
ในทำนองเดียวกันมนุษย์เราไม่ใช่เพียงแต่จะรักษาคุณค่าความเป็นมนุษย์ไว้แต่ยังต้องเพิ่มคุณค่าความเป็นมนุษย์ให้ตนเองตลอดเวลา วิธีการหนึ่งที่จะทำให้คนเราที่เกิดมานั้นมีคุณค่ามากขึ้น นั่นคือการแสวงหาความรู้ เพื่อสั่งสมเป็นประสบการณ์ ทักษะและความคิด อันหมายรวมถึงการมีความรู้และการสามารถนำความรู้นั้นไปใช้ให้เกิดประโยชน์ได้ ซึ่งสิ่งต่างๆเหล่านี้ก่อให้เกิด ปัญญา ดังพระราชดำรัสในพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวภูมิพลอดุลยเดช ความว่า ปัญญาแปลอย่างหนึ่งคือ ความรู้ทุกอย่างทั้งที่เล่าเรียนจดจำมา ที่พิจารณาใคร่ครวญคิดเห็นขึ้นมา และที่ได้ฝึกฝนอบรมให้คล่องแคล่วชำนาญขึ้นมา เมื่อมีความรู้ความชัดเจนชำนาญในวิชาต่างๆดังว่า จะยังผลให้เกิดความเฉลียวฉลาดแต่ประการสำคัญนั้นคือความรู้ที่ผนวกกับความเฉลียวฉลาดนั้นจะรวมกันเป็นความสามรถพิเศษขึ้น คือความรู้จริง รู้แจ้งชัด รู้ตลอด ซึ่งจะเป็นผลต่อไปเป็นความรู้เท่าทัน เมื่อรู้เท่าทันแล้วก็จะเห็นแนวทางและวิธีการที่จะหลีกเลี่ยงให้พ้นอุปสรรคปัญหา และความเสื่อม ความล้มเหลวทั้งปวงได้ แล้วดำเนินไปตามทางที่ถูกต้องเหมาะสมจนบรรลุความสำเร็จ" (พระราชทาน ณ วันที่ ๑๔ กรกฎาคม ๒๕๒๑) หมายความว่า ปัญญาเป็นสภาพแห่งการรู้จริง การรู้แจ้งชัดและการรู้ตลอด ซึ่งสภาวะแห่งความรู้นี้จะนำไปสู่การรู้เท่าทันและปัญญาในความหมายดังกล่าวนี้จะช่วยให้สามารถแก้ไขปัญหาหรืออุปสรรคและนำไปสู่ความสำเร็จได้ในที่สุด
นับได้ว่าการศึกษาเป็นปัจจัยที่ก่อให้เกิดการเรียนรู้ทำให้ได้รับความรู้และก่อเกิดเป็นปัญญา และปัญญาก็จะนำไปสู่ความสำเร็จ นั่นหมายความว่า การศึกษา ความรู้ และปัญญา เป็นสิ่งที่มีความสัมพันธ์กันที่ไม่สามารถแยกออกจากกันได้โดยที่ความรู้นั้นไม่มีจุดสิ้นสุดโดยคนเราสามารถเรียนรู้ตั้งแต่เกิดไปจนกระทั่งสิ้นสุดการมีชีวิต ดังพระราชดำรัสในพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวภูมิพลอดุลยเดช ความตอนหนึ่งว่า การศึกษานั้นเป็นเรื่องของทุกคน และไม่ใช่ว่าเฉพาะในระยะหนึ่ง เป็นหน้าที่โดยตรงในระยะเดียวไม่ใช่อย่างนั้น ตั้งแต่เกิดมาก็ต้องศึกษาเติบโตขึ้นมาก็ต้องศึกษา จนกระทั่งถึงขั้นที่เรียกว่าอุดมศึกษา อย่างที่ท่านทั้งหลายกำลังศึกษาอยู่ หมายความว่าการศึกษาที่ครบถ้วน ที่อุดม ที่บริบูรณ์ แต่ต่อไปเมื่อออกไปทำหน้าที่การงานก็ต้องศึกษาต่อไปเหมือนกัน มิฉะนั้นคนเราก็อยู่ไม่ได้ แม้จบปริญญาเอกแล้วก็ต้องศึกษาต่อไปตลอด หมายความว่า การศึกษาไม่มีสิ้นสุด” (พระราชทาน ณ วันที่ ๒๐ เมษายน ๒๕๒๑) โดยความรู้หรือปัญญานั้นล้วนเป็นสิ่งที่แสดงให้เห็นว่าคนเรายังคงมีคุณค่าอยู่เสมอนั่นเป็นเพราะว่าเราทุกคนใช้ความรู้ที่มีเพื่อก่อประโยชน์ให้คนรอบข้างตลอดเวลา

การศึกษาในปัจจุบันของชุมชนจะทิ้งพระ จังหวัดสงขลา

                หากกล่าวถึงการศึกษาในยุคปัจจุบันแล้ว หลายท่านก็คงมีความเข้าใจเดียวกันว่าเป็นการศึกษาในสมัยใหม่ ยุคแห่งเทคโนโลยีและวิทยาการล้ำหน้า สิ่งต่างๆล้วนเกิดขึ้นได้ย่อมมาจากความรู้ ความคิด ทักษะและประสบการณ์ นั่นแสดงให้เราเห็นว่า ระบบของการศึกษามีการพัฒนาขึ้นด้วยเช่นเดียวกัน ทุกสิ่งทุกอย่างย่อมมีพัฒนาการและต้องเป็นไปในทางที่ดีขึ้นจึงทำให้สิ่งที่ดียังสามารถคงอยู่ได้ต่อไป
                ด้วยสภาพแวดล้อมของยุควิทยาการสมัยใหม่กับความคิดในมุมมองที่ก้าวจากความเป็นอดีตสู่ปัจจุบันย่อมมีการเปลี่ยนแปลงไป ในเรื่องการศึกษาของชาวจะทิ้งพระก็เช่นเดียวกัน จากการศึกษาที่เป็นเพียงเครื่องช่วยแสวงหาความรู้ ความคิดและจิตวิญญาณของความเป็นมนุษย์ กลับกลายเป็น เครื่องต่อรองในการแย่งชิงแข่งขัน ชาวบ้านบางส่วนมีความคิดว่าต้องส่งให้ลูกหลานของตนเองได้เรียนในโรงเรียนที่มีชื่อเสียงเพราะจะได้มองว่าดูดีมีฐานะกว่าครอบครัวอื่นๆที่ลูกหลานได้เข้าเรียนเพียงแค่ในโรงเรียนใกล้บ้าน จากสิ่งที่กล่าวไปข้างต้นแสดงให้เห็นเช่นเดียวกับหลักจิตวิทยาที่เกี่ยวข้องกับการเปลี่ยนพฤติกรรมของมนุษย์ในลักษณะว่า การปรับเปลี่ยนอุดมคติ คือการสามารถปรับเปลี่ยนหลักการแนวทางบางส่วนบางตอนเพื่อให้เข้ากับสังคมส่วนใหญ่ได้ โดยพิจารณาจากความจำเป็นและเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น เพื่อให้บรรลุเป้าหมาย เป็นประโยชน์แก่ตนเอง เพื่อสวัสดิภาพของตนเอง นั่นหมายความว่าเมื่อสังคมส่วนใหญ่มีแนวคิดที่ต่างไปจากอดีต มนุษย์ก็ย่อมมีการเปลี่ยนแปลงแนวคิดของตนเองตามไปด้วย นั่นก็เพื่อสิ่งต่างๆที่ตนเองนั้นอยากจะได้ อยากจะมีหรืออยากจะเป็น ซึ่งเป็นไปตามแนวคิดจิตวิทยาธรรมชาติของมนุษย์ว่า มนุษย์มีความต้องการ   ความต้องการของมนุษย์จะเริ่มจากสิ่งที่เป็นพื้นฐานในการดำรงชีวิตและเมื่อความต้องการนั้นๆ ได้รับการตอบสนองแล้ว บุคคลก็จะมีความต้องการในลำดับที่สูงขึ้นตามลำดับ เช่น ต้องการความรัก ต้องการเกียรติยศชื่อเสียง เป็นต้น
สภาพที่ปรากฏ เด็กๆในชุมชนในระดับชั้นตั้งแต่อนุบาลปีที่ 1 ถึง 3 และประถมศึกษาปีที่ ๑ถึง ๖ ส่วนมากยังคงเรียนในสถานศึกษาใกล้บ้าน นั่นเป็นเพราะความเป็นห่วงเด็กๆที่ยังไม่มีวุฒิภาวะมากพอในการดูแลตัวเองหรือการเอาตัวรอดของตัวเองในสังคมปัจจุบัน ส่วนเด็กในระดับมัธยมศึกษาตอนต้น และตอนปลาย(ปีที่ ๑ ถึง ๖) ยังคงมีบางส่วนที่เรียนในละแวกชุมชนนี้ และบางส่วนก็ได้เรียนในต่างอำเภอ โดยเฉพาะอำเภอเมืองสงขลา ซึ่งนักเรียนเหล่านั้นจะต้องเข้ามาใช้ชีวิตในสังคมเมือง นับว่าเป็นสังคมใหญ่ที่มีวิถีการดำเนินชีวิตที่ต่างออกไปจากชาวบ้านในชุมชนจะทิ้งพระ หากเรามองในประเด็นนี้อาจจะมีทั้งทางที่ดีและไม่ดี นั่นต้องขึ้นอยู่กับจิตสำนึก ค่านิยมของแต่บุคคล แต่หากถามชาวบ้านในชุมชนนี้กลับเห็นว่า วิถีชีวิตการทำงาน การศึกษามีการแข่งขันมากขึ้น มีทั้งที่เป็นมุมที่ดี และมุมที่ไม่ดี การศึกษาทำให้วิถีชีวิต การคิดการอ่านของคนในชุมชนเปลี่ยนแปลงไป เห็นประโยชน์ของตนเองมากขึ้น ความสัมพันธ์ใกล้ชิดกับบ้านเกิดของตนเองลดน้อยลง วิถีชีวิตมีแต่ความรวดเร็ว สะดวกสบาย เน้นแต่ว่ามักง่าย โดยลืมนึกถึงความเป็นจริงหรือสภาพของชุมชน เมื่อเด็กๆได้เติบโตในสถานศึกษาที่ใหญ่โต ก็มักจะดูถูกและหมิ่นในการศึกษาของชุมชนตนเอง ซึ่งนำไปสู่การลืมรากเหง้าของตนเอง ชาวบ้านยังคงให้ความเห็นว่า การศึกษาจะดีหรือไม่ดีนั้น มันอยู่ที่ความเชื่อของแต่ละคน ไม่ได้อยู่ที่สถาบัน ถึงแม้จะเป็นสถาบันเล็กๆที่เกิดขึ้นในชุมชน แต่หากคนในชุมชนมองว่าดี สถาบันนั้นก็จะได้รับการยกย่องว่าดี ไม่ได้หมายความว่าเด็กๆที่เรียนในโรงเรียนดังแล้วจะดีทุกคน มันก็คงเป็นไปไม่ได้แน่นอน  ในความเป็นจริงชาวบ้านส่วนใหญ่ยังคงนิยมให้บุตรหลานได้เรียนในโรงเรียนสังกัดเอกชน แม้จะต้องมีค่าใช้จ่ายมากกว่า แต่หลายครอบครัวก็ยอมรับในตรงจุดนั้น ทั้งๆที่อัตราเด็กที่อ่านไม่ออก เขียนไม่ได้ก็ยังคงพบในปริมาณที่เท่าๆกัน นั่นหมายความว่า โรงเรียนเอกชนที่มีค่าใช่จ่ายสูง มีเพียงการส่งเสริมทางด้านวิทยาการเทคโนโลยีสมัยใหม่ที่นำหน้าโรงเรียนเล็กๆในชุมชน จึงเป็นเหตุให้ผู้ปกครองมองว่าโรงเรียนนั้นมีประสิทธิภาพ แต่ความเป็นจริงนักเรียนได้รับเพียงแค่ความรู้วิทยาการเทคโนโลยีสมัยใหม่ แต่การคิดการอ่านยังคงไม่มีประสิทธิภาพ ดังที่ชาวบ้านได้เปรียบเทียบให้ฟังว่า ลูกของชาวบ้านคนหนึ่งเรียนในสถานศึกษาเอกชน มีความรู้ทางเทคโนโลยีสมัยใหม่มาก เป็นตัวแทนของโรงเรียนได้รับรางวัลระดับประเทศ กับลูกของชาวบ้านอีกคนที่เรียนในสถานศึกษาเล็กของรัฐบาลในชุมชน ปรากฏว่าเด็กที่ได้รับรางวัลระดับประเทศด้านเทคโนโลยีนั้นยังคงอ่านหนังสือไม่ออก แต่เด็กที่เรียนในสถานศึกษาเล็กกลับอ่านหนังสือออกแล้ว นั่นหมายความว่าการมีความรู้ในวิทยาการ เทคโนโลยีสมัยใหม่ ไม่ใช่เป็นคำตอบว่าเด็กจะเก่งหรือจะดีทุกคนเสมอไป หากถามกลับมาที่ชาวบ้านว่าครูสมัยเก่ากับครูสมัยใหม่ ใครดีกว่ากัน ชาวบ้านยังคงให้คำตอบว่า ครูสมัยเก่า ด้วยเหตุผลว่า แม้ครูสมัยเก่าจะมีความรู้ ความเชี่ยวชาญบางอย่างน้อยกว่าครูสมัยใหม่ แต่ครูสมัยเก่าก็มีประสบการณ์ในการสอนมามากกว่า รู้ว่าควรทำสิ่งใดกับเด็กแบบไหนมากกว่าครูในสมัยใหม่ เพราะการเป็นครูนั้นไม่ใช่เพียงสอนวิชาความรู้ แต่ต้องรู้จักถ่ายทอดวิชาความรู้เข้าไปด้วย จึงจะทำให้เด็กได้รับความรู้ไปมากที่สุดนั่นเอง

บทสรุป

                การศึกษานับว่ามีความสำคัญมาก ซึ่งเป็นปัจจัยหลักที่ช่วยส่งเสริมและพัฒนาคุณภาพชีวิต ก่อให้เกิดความรู้ ความคิด ทักษะและประสบการณ์ ในทำนองเดียวกันมนุษย์เราไม่สามารถที่จะแสวงหาความรู้เพียงอย่างเดียวได้ นอกเหนือจากแสวงหาความรู้นั้นแล้วยังต้องนำความรู้นั้นมาปรับใช้ให้ถูกต้องและเกิดประโยชน์มากที่สุด ไม่เพียงแต่เกิดประโยชน์กับตนเองแต่ยังหมายรวมถึงการนำความรู้ไปใช้ให้เกิดประโยชน์แก่สังคมด้วย ความรู้ที่ถูกนำมาปรับใช้นั้นจะกลายเป็นปัญญา ซึ่งเป็นปัญญาที่ก่อให้เกิดความคิดและทักษะที่พร้อมจะช่วยแก้ปัญหาและสร้างสรรค์สิ่งต่างๆให้เกิดขึ้นในสังคมอันกลายเป็นคุณค่าของความเป็นมนุษย์ การศึกษาหรือการแสวงหาความรู้จะเป็นเครื่องมือที่ช่วยให้เรานั้นยังคงรักษาคุณค่าในความเป็นตัวตนของเราได้ อันเนื่องว่าคนเรานั้นไม่ได้อยู่ด้วยตัวคนเดียว แต่ยังจำเป็นต้องอาศัยซึ่งกันและกันอยู่ตลอดเวลา นั่นคือสิ่งจำเป็นที่แสดงให้เห็นว่าเหตุใดการศึกษาจึงกำเนิดขึ้นมาในสังคม จากสังคมจุดเล็กๆก็กลายเป็นสังคมที่กระจายตัวสู่ภูมิภาคทั่วประเทศ ชาวจะทิ้งพระก็เป็นส่วนหนึ่งที่ได้รับการศึกษามาแต่ครั้งโบราณ แนวคิดเรื่องการศึกษาจึงมีการพัฒนาและเปลี่ยนแปลงไปตามยุคสมัยของสังคม จากบทบาทของการศึกษาในอดีตที่มีความสำคัญน้อยมากกลับกลายเป็นปัจจัยสำคัญที่ใครๆไม่สามารถหลีกเลี่ยงได้จนกลายเป็นค่านิยมใหม่ที่เกิดขึ้นในความคิดของชาวบ้านส่วนหนึ่งว่าการศึกษาในชุมชนเมืองย่อมดีกว่าการศึกษาในชุมชนชนบท หรือคิดไปว่าการศึกษาในสถานศึกษาเอกชนย่อมดีกว่าการศึกษาในสถานศึกษาของรัฐบาล จากความคิดดังกล่าวมุ่งสะท้อนให้เห็นถึงค่านิยมที่แปรผกผันกับจุดมุ่งหมายของการศึกษา หมายความว่าการศึกษามุ่งให้ทุกคนมีความรู้ มีความคิด มีทักษะ มีประสบการณ์และมีปัญญา เห็นคุณค่าในตนเองและนำสิ่งที่ได้ไปใช้ในทางที่ถูกต้อง มุ่งประโยชน์ส่วนรวมเป็นหลัก ไม่ใช่นำความรู้ที่ได้ไปก่อให้เกิดคุณค่าและประโยชน์ส่วนตนหรือใช้การศึกษาเป็นเครื่องประดับบารมีให้กับตนเอง

วิเคราะห์วรรณกรรมปัจจุบัน ใบไม้ที่หายไป

วิเคราะห์วรรณกรรมปัจจุบัน
ใบไม้ที่หายไป จีระนันท์ พิตรปรีชา

          ใบไม้ที่หายไปเป็นหนังสือประเภทกวีนิพนธ์ของจีระนันท์ พิตรปรีชา นักกลอนคนตรัง ผู้ซึ่งมีความสามารถด้านการประพันธ์มาตั้งแต่ยังเด็ก จบการศึกษาชั้นมัธยมศึกษาจากโรงเรียนเตรียมอุดมศึกษา ก่อนที่จะสอบเข้าเรียนต่อเป็นนิสิตรั้วจามจุรีได้ในคณะวิทยาศาสตร์ แผนกวิชาเตรียมเภสัชฯ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย หนึ่งในผู้มีบทบาทของแกนนำนิสิตจากเหตุการณ์การเรียกร้องประชาธิปไตยในช่วง พ.ศ.2516-2519 จนถึงกับต้องหลบหนีเข้าป่าและได้รับสมญาว่าสหายใบไม้  ก่อนจะกลับมาถ่ายทอดเรื่องราวของใบไม้ใบหนึ่งที่ห่างหายไปจากวงการวรรณกรรมโดยผลงานเล่มนี้ถูกสร้างสรรค์ขึ้นในปี พ.ศ.2532 และยังได้รับรางวัลวรรณกรรมสร้างสรรค์ยอดเยี่ยมแห่งอาเซียน (ซีไรต์) ประจำปี พ.ศ.2532 เช่นเดียวกัน ได้รับการตีพิมพ์ครั้งแรกจากสำนักพิมพ์อ่านไทย กวีนิพนธ์เล่มนี้มีจำนวน 119 หน้า โดยได้แบ่งเนื้อหาไว้เป็นตอนๆซึ่งถ่ายทอดเรื่องราวชีวิตของจีระนันท์ พิตรปรีชา ตั้งแต่ยังเป็นนักศึกษาวัยรุ่นที่มีพลังแห่งอุดมการณ์ จนกระทั่งได้เรียนรู้เรื่องราวของชีวิตที่ตนเองต้องประสบพบเจอที่ต้องเป็นไปตามธรรมชาติ ในช่วงระยะเวลาตั้งแต่ พ.ศ.2513 ถึง พ.ศ.2528 ตามลำดับ
          พ.ศ.2513-2515 เป็นการเล่าชีวิตในขณะที่จบการศึกษาจากโรงเรียนเตรียมอุดมศึกษาและการเข้าเป็นนิสิตในรั้วจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย เริ่มด้วยการมองธรรมชาติด้วยความคิดถึง การมองด้วยภาพของความสดใส ความสวยงาม ตามวัยที่ยังคงไร้เดียงสาและไม่ทราบว่าวันข้างหน้าจะเป็นอย่างไรต่อไป และกล่าวถึงความหลังอันต้องจากบ้านมาโดยถ่ายทอดผ่านต้นยางพาราที่ถูกกรีดเอาน้ำยางมาเป็นหนทางทำมาหากิน เหลือทิ้งไว้เพียงรอยแผลบนต้นยางพาราที่เป็นดั่งร่องรอยจารึกของบุญคุณที่มีต่อตนเอง จากนั้นเล่าถึงชีวิตของความใฝ่ฝันที่ต้องการเจิดจ้าดั่งแสงดาวแต่ก็ไม่ต้องการเป็นดาวที่จุดสว่างวูบวับแล้วดับลง ตามมาด้วยความเป็นไปของการเกิด แก่ เจ็บ ตาย ซึ่งทุกอย่างเป็นเพียงความว่างเปล่าแต่ความว่างเปล่านั้นกำลังจะจากไป รวมทั้งกล่าวถึงจุดหมายของตนเองที่ต้องการแสดงความกล้าในสภาพสังคมที่ถูกปิดและจะใช้สองมือกับความรู้ความคิดเท่าที่มีในขณะนั้นเพื่อร่วมต่อสู้และแสดงพลังของคนหนุ่มสาว ไม่ว่าผลจะเป็นอย่างไรก็ต้องขอลองดู
          พ.ศ.2516-2519 ช่วงนี้เล่าถึงชีวิตที่ต้องดำเนินไปในสังคมของการกดขี่ข่มเหงโดยถ่ายทอดผ่านชีวิตของควายและผู้ที่ทำนาบนหลังควาย ถ่ายทอดถึงชีวิต วิญญาณที่ต้องต่อสู้กับอธรรมด้วยความกล้าหาญแม้จะปวดร้าวเพียงใดก็ตาม  เป็นการแสดงปณิธานของคนหนุ่มสาวในแววตาซึ่งเต็มไปด้วยความไร้เดียงสาที่ต้องต่อสู้กับปัญหาที่ต้องเผชิญอยู่เบื้องหน้า และตามด้วยพลังของสตรีดั่งดอกไม้บาน ที่ไม่ได้มีเพียงไว้ให้ใครๆชื่นชมแต่บานไว้เพื่อเติมเต็มความอุดมสมบูรณ์ให้แผ่นดิน
          พ.ศ.2520-2522 ช่วงนี้เล่าประสบการณ์การใช้ชีวิตในป่าเขาร่วมกับเพื่อนร่วมอุดมการณ์ จากชีวิตที่เคยอยู่ในสังคมเมือง จากหญิงสาวที่ใช้ชีวิตแบบคนธรรมดาแต่ต้องใช้ชีวิตที่ต้องร่วมสรรค์สร้างอุดมการณ์ด้วยแรงและกำลัง ต้องใช้ชีวิตความเป็นอยู่ดั่งคนที่ต้องถูกเค้นข่ม และพูดถึงการเดินทางของชีวิต วิถีการใช้ชีวิต และความเหน็ดเหนื่อยอ่อนล้าที่เกิดขึ้นในป่าเขา รวมทั้งความรู้สึกคิดถึงบ้านเกิด เปรียบตนเองเป็นดั่ง(นก)บินหลาที่มาเผชิญชีวิตท่ามกลางป่าเขาล้วนทำให้เข้มแข็งขึ้น
          พ.ศ.2522-2523 ช่วงนี้เล่าประสบการณ์ของชีวิตที่ต้องทนร้าวรวดปวดเจ็บ และเป็นช่วงเวลาที่ตนเองกำลังตั้งครรภ์จึงได้กล่าวถึงลูกน้อยที่ลืมตามาดูโลก ถ่ายทอดความเป็นห่วงของคนเป็นแม่ต่อลูก รวมทั้งถ่ายทอดอารมณ์เหงาผ่านสิ่งที่พบเจอขณะเดินทางในป่า
          พ.ศ.2524-2528 เป็นการเล่าชีวิตตนเองผ่านการเติบโตของต้นไม้ที่ต้องยืนต้นเป็นหลักที่มั่นคง เล่าถึงชีวิตที่ห่างหายจากงานเขียนไปพักใหญ่ๆผ่านย่ามแห่งความฝัน จากเดิมที่เคยกล้าหาญผ่านคืนวันความกล้าหาญก็ยิ่งแผ่วลงแต่ความกล้าหาญนั้นก็กลับมาเหมือนเดิม และกลับมาต่อสู้ และจบท้ายว่าทุกอย่างเป็นเพียงความรู้สึกที่บันทึกเรื่องราวสิ่งที่ผ่านมาหลายปี

          จากที่กล่าวมาทั้งหมดเป็นเพียงเรื่องราวบางส่วนที่ถ่ายทอดให้เห็นถึงชีวิตที่ต้องดิ้นรนต่อสู้ในช่วงระยะเวลาที่เรียกว่าวรรณกรรมเพื่อชีวิต กวีนิพนธ์เล่มนี้คาดว่าจะจัดอยู่ในประเภทยุควรรณกรรมซีไรต์  เนื่องจากพิจารณาจากช่วงของหนังสือที่ได้รับการตีพิมพ์ แม้เนื้อหาจะมุ่งนำเสนอสภาพเหตุการณ์บ้านเมืองในขณะนั้น ก่อให้เกิดการต่อสู้ ดิ้นรน ของกลุ่มนิสิต ประชาชน ได้อย่างชัดเจนและถูกถ่ายทอดเรื่องราวออกมาเป็นกวีนิพนธ์ ใบไม้ที่หายไปก็ตาม

อนุภาคของนิทาน ราชสีห์กับหนู

อนุภาคของนิทาน

จากเรื่อง ราชสีห์กับหนู มีลำดับเหตุการณ์และอนุภาคตามหมู่ MOTIF-INDEX OF FOLK-LITERATURE ดังต่อไปนี้

a  ราชสีห์ตัวหนึ่ง นอนหลับกลางวันอยู่ในป่า
อนุภาคการเป็นใหญ่ของสัตว์แสดงถึงความเป็นเจ้าป่า เป็นราชาของสัตว์ทั้งหลาย นั่นคือสิงโต(ราชสีห์)
หมวด    B240. King of animals.
หมวดย่อยที่         B240.4. Lion as king of animals.

a  หนูตัวหนึ่งเดินไปบนหลังของราชสีห์ ราชสีห์จึงเกิดความไม่พอใจ
อนุภาคของความไม่พอใจคล้ายเป็นชนวนก่อให้เกิดความขัดแย้งที่เกิดขึ้นระหว่างสิงโตกับสัตว์อื่นๆ
หมวด   B623. War between other groups of animals
หมวดย่อยที่         B263.8. War between lion and other animals.

a  เจ้าหนูสัตว์น้อยๆพูดขอร้อง ราชสีห์ว่า โปรดชีวิตไว้ด้วยเถิด เพราะยังมีลูกเล็กๆอีก 7 ตัว
อนุภาคการแสดงที่หนูสามารถพูดได้
หมวด   B211.2. Speaking beast-wild.
หมวดย่อยที่         B211.2.8. Speaking mouse.

a  ราชสีห์ถามแม่หนูกลับ อ้อเจ้ามีลูกด้วยหรือ ก็เป็นแม่หนูสิ
อนุภาคการแสดงที่สิงโต (ราชสีห์)สามารถพูดได้
หมวด   B211.2. Speaking beast-wild.
หมวดย่อยที่         B211.2.2. Speaking lion.

a  ราชสีห์ได้ฟังดังนั้นจึงปล่อยหนูไป
อนุภาคของการช่วยเหลือที่แสดงให้เห็นว่าสิงโต (ราชสีห์)มีประโยชน์ สามารถให้การช่วยเหลือได้
หมวด   B431. Helpful wild beasts.-
หมวดย่อยที่         B431.2. Helpful lion.
a  ต่อมาไม่นานราชสีห์ไปติดบ่วงตาข่ายของนายพราน
อนุภาคของสัตว์ที่ถูกกับดักจับไว้ โดยที่กับดักนั้นตั้งเพื่อล่อเหยื่อที่เป็นอาหาร
หมวดที่            K1643. Animal strangled by victim which he tries to eat.

a  แม่หนูกับลูกๆเดินเข้ามาเห็นและจำได้จึงมาช่วยราชสีห์
อนุภาคของการช่วยเหลือที่แสดงให้เห็นว่าหนูมีประโยชน์ สามารถให้การช่วยเหลือสิงโตได้
หมวด    B437. Helpful wild beasts.
หมวดย่อยที่         B437.2. Helpful mouse.

a  เมื่อเป็นอิสระแล้ว ราชสีห์ได้ขอบคุณพวกหนูทั้งหลายที่มาช่วย
อนุภาคของการแสดงการขอบคุณที่ได้มีการช่วยเหลือให้รอดพ้นจากตะข่าย
หมวด    B371. Small animal released from jaws of large one : grateful

หมวดย่อยที่         B371.1. Lion spared mouse : mouse grateful. Later release lion from net.

วิเคราะห์นิราศคำโคลงเสด็จไปทัพเวียงจันทน์

วิเคราะห์นิราศคำโคลงเสด็จไปทัพเวียงจันทน์

(พระเจ้าบรมวงศ์เธอสมเด็จกรมพระยาเดชาดิศร)

การแบ่งประเภทของนิราศ
๑. แบ่งตามรูปแบบการเขียน            : มีบทสดุดี
๒. แบ่งตามชนิดคำประพันธ์          : เป็นร้อยกรอง ประเภทโคลง
๓. แบ่งตามวิธีการพรรณนา             : เป็นนิราศที่ยึดการเดินทางคร่ำครวญ
จุดมุ่งหมายและแนวการเขียน เป็นนิราศประเภทคร่ำครวญ
ผู้แต่งต้องการแสดงอารมณ์สะเทือนใจที่จากนางเป็นสำคัญ
๔. แบ่งตามเนื้อหา                             : เป็นนิราศแท้ คือ เดินทางจากที่อยู่และจากนางจริง ผู้แต่ง แสดง
ความในใจพร้อมๆกับที่บรรยายเส้นทาง เป็นนิราศพรรณนา
อารมณ์ โดยมุ่งแสดงความอาลัยรักที่ต้องจากนางเน้นอารมณ์
มากกว่าการเดินทางเพียงบันทึกเส้นทางคร่าวๆ 
ลักษณะคำประพันธ์
โคลงนิราศตามแบบสมัยเก่า คือ เป็นร่ายสุภาพและตามด้วยโคลงสี่สุภาพ ๑๖๓ บท
เริ่มสำนวนนิราศตั้งแต่โคลงบทที่ ๖ เป็นต้นไป

เนื้อหาสาระ

                เนื้อหาเป็นการพรรณนาถึงสตรีที่รักตามขนบธรรมเนียมของวรรณคดีนิราศ กล่าวถึงการเดินทางด้วยกระบวนเรือทวนลำน้ำเจ้าพระยาขึ้นไปถึงกรุงเก่า แล้วแยกเข้าลำน้ำป่าสักไปถึงท่าเจ้าสนุกสถานที่ต่างๆ รายทางเรียงตามลำดับเช่นเดียวกับนิราศพระบาทของสุนทรภู่ (สุนทรภู่แต่งนิราศพระบาทเมื่อพุทธศักราช ๒๓๕๐ในสมัยรัชกาลที่ ๑ ) ต่อจากนั้นกระบวนเรือผ่าน ท่าแดง ท่างาม (ท่าหลวง) ยางนม หัวหิน เริงราง บ้านม่วง บ้านกรูด บ้านกง ปากบาง สาวไห้ บ้านพยาว ท่าราบ บ้านดาวเรือง บ้านอ้อย ปากเพรียว บ้านกล้วย ช่องผึ้ง ท่าวัว บ้านกอก แก่งเมือง หนองบัว ท่าเยี่ยม บ้านตาลเดี่ยว และจบความในนิราศเมื่อตั้งค่ายหลวงที่บ้านขอนขว้าง
                ระยะทางตั้งแต่ท่างาม (ปัจจุบันเรียกว่า ท่าหลวง ) จนถึงบ้านขอนกว้างนั้น อยู่ในท้องที่จังหวัดสระบุรี

การตั้งชื่อนิราศ
                ตั้งตามเหตุการณ์และสถานที่กรมหมื่นเดชอดิศรเสด็จไปทัพเวียงจันทน์ นิราศเรื่องนี้ไม่ได้กล่าวถึงเนื้อหาการเดินทางไปจนถึงเวียงจันทน์ ซึ่งตามฉบับพิมพ์พุทธศักราช ๒๔๖๖
เรียกว่า โคลงนิราศกรมหมื่นเดชอดิศรเสด็จไปทัพเวียงจันทน์และเนื่องจากนิราศเรื่องดังกล่าวพรรณนาความจบลงในเขตท้องที่เมืองสระบุรีนี้เอง จึงน่าจะเรียกชื่อว่า นิราศสระบุรี ได้อีกอย่างหนึ่ง

สรุปเรื่อง เสียงในภาษาไทย


เสียงในภาษาไทย
จากที่นักเรียนได้ศึกษามาคงทราบกันว่าเสียงในภาษาไทยประกอบไปด้วยเสียงใดบ้าง วันนี้จึงมาสรุปสั้น ๆ พอเข้าใจเบื้องต้นได้ว่า ภาษาไทย ประกอบด้วยเสียง ๓ ชนิด ดังนี้ เสียงสระ เสียงพยัญชนะ และ เสียงวรรณยุกต์
๑.  เสียงสระ  (หรือเรียกอีกอย่างว่า เสียงแท้)  เป็นเสียงที่ลมผ่านออกจากปอดผ่านหลอดลมและกล่องเสียงโดยไม่ถูกสกัดกั้น  ลักษณะเสียงจึงมีความก้องกังวาน  เสียงสระมีทั้งสิ้น ๒๑ เสียง  เป็นเสียงสระแท้(สระเดี่ยว) ๑๘ เสียง  และเสียงสระประสม ๓ เสียง 
๒.  เสียงพยัญชนะ (หรือเรียกอีกอย่างว่า เสียงแปร)  เป็นเสียงที่ออกจากปอดผ่านลอดลม และถูกสกัดกั้นที่อวัยวะต่างๆในปาก  ทำให้เกิดเป็นเสียงต่างๆ  เสียงพยัญชนะมีทั้งสิ้น  ๒๑  เสียง
๓.  เสียงวรรณยุกต์  (หรือเรียกอีกอย่างว่า เสียงดนตรี)  เป็นเสียงที่เปล่งออกมามีเสียงสูง ต่ำ คล้ายเสียงดนตรี ทำให้ความหมายของคำเปลี่ยนไปได้ เสียงวรรณยุกต์มีทั้งสิ้น ๕ เสียง ดังนี้ เสียงสามัญ เสียงเอก เสียงโท เสียงตรี และเสียงจัตวา




วันพฤหัสบดีที่ 1 พฤษภาคม พ.ศ. 2557

บ้านภาษาไทย (ครูบิ๊ก) ยินดีต้อนรับทุกท่าน